บทเรียนไปษณีย์ บทที่ 6
บทที่ 6
พระคริสตธรรมคัมภีร์
โดย วีรศักดิ์ วรฤทธิ์สกุล
ทุกศาสนามีคัมภีร์
เพื่อเป็นมาตรฐานในการดำเนินชีวิตและพิธีกรรมในทางศาสนา พุทธมีพระไตรปิฎก อิสลามมีโกหร่าน (อัลกุรอ่าน)
และคริสต์มีพระคริสตธรรมคัมภีร์
ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่าไบเบิล
(จากภาษากรีก บิบลิอะ) แปลว่า หนังสือ แต่ข้อแตกต่างคือ คริสเตียนถือว่าหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้เขียนขึ้น พวกเขาไม่ได้เขียนขึ้นตามอำเภอใจของตนเอง ในพระคริสตธรรมคัมภีร์มีข้ออ้างว่า เป็นพระคำของพระเจ้ามากกว่า 3,000
ครั้ง “ท่านทั้งหลายก็จงรู้ข้อนี้ก่อนคือว่า คำพยากรณ์ทุกคำที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์แล้วพวกผู้พยากรณ์ไม่ได้คิดออกมาตามลำพังใจของตนเอง
ด้วยว่าคำพยากรณ์นั้นเมื่อก่อนไม่ได้เป็นมาตามน้ำใจมนุษย์ แต่ว่ามนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า
ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจให้กล่าวนั้น”
(2 เปโตร 1.20-21)
ใครเขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์
ผู้เขียนต่าง ๆ 40
คนจากต่างอาชีพฐานะและสถานที่บอกว่า
พระเจ้าดลใจ คำว่าดลใจหมายถึง
การระบายลมหายใจเข้าสู่บุคคลนั้นและเขาระบายลมนั้นออกมาเป็นข้อความ สิ่งที่เขาเขียนนั้นไม่ใช่เป็นของเขา เขาเพียงแต่เป็นเครื่องมือในการที่พระเจ้าใช้เพื่อจะสื่อความกับมนุษย์เท่านั้น ตัวอย่าง
ถ้าผู้เขียนบทเรียนนี้
บันทึกข้อความลงในเครื่องอัดเสียงเสร็จแล้วให้เลขานุการณ์เถิดเทปที่อัดไว้ คำถามคือ
ข้อความที่เลขาฯ
พิมพ์ออกมานั้นเป็นความนึกคิดของผู้เขียนหรือเลขาฯ คำตอบก็ชัดเป็นของผู้เขียนเช่นกัน ศาสดาพยากรณ์และพวกสาวกที่เขียนพระคัมภีร์เป็นมาจาก
พระเจ้า
คนที่เชื่อในพระเจ้า บอกว่า
พระเจ้าดลใจ
คนในโลกนี้มีแค่ 2
ประเภทใหญ่ ๆ คือ คนดีและคนชั่ว
คำถามก็คือว่า
คนชั่วเขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์หรือ?
แน่นอนไม่มีใครที่จะเขียนหนังสือขึ้นมาประณามการกระทำชั่วของตนเอง ดังนั้นคนที่จะเขียนไบเบิลได้คือ คนดีเท่านั้น แต่คนดีมีเพียงแค่ 2
ประเภทเช่นกันคือ คนดีที่เชื่อในพระเจ้ากับคนดีที่ไม่เชื่อในพระเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่คนดีที่ไม่เชื่อในพระเจ้า
จะเขียนเรื่องพระเจ้าเพราะตนไม่เชื่ออยู่แล้ว ถ้าหากเขาเขียนเรื่องที่ตนไม่เชื่อและบอกว่าเป็นความจริง คนนั้นเป็นคนดีไม่ได้ เพราะโกหก
เราจึงจำเป็นต้องสรุปว่า
คนดีที่เชื่อพระเจ้าเป็นผู้เขียนพระคริสต-ธรรมคัมภีร์
การที่จะปฏิเสธไม่เชื่อว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้า
เพราะว่าคริสเตียนเขียนเป็นเหตุผลที่ใช้การไม่ได้ การที่ผู้เขียนจะบอกว่าผมไม่เชื่อพระไตรปิฎกเพราะคนพุทธเขียน หรือไม่เชื่อโกหร่านเพราะอิสลามเขียน เป็นคำพูดของคนที่ไม่มีเหตุผล เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าถูกหรือผิดอยู่ที่การพิสูจน์
ข้อความที่เขียนนั้นเป็นไปตามความจริงหรือไม่ต่างหาก ไม่ใช่เพราะคริส-เตียนเขียนเลยไม่เชื่อ
คนที่เชื่อพระเจ้าบอกว่า “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเลิกพูดมุสาเสีย”
(เอเฟโซ 4.25)
ทำไมพวกเขาสอนให้เลิกพูดเท็จ
แต่ให้พูดแต่ความจริง?
คนทั้งปวงที่พูดมุสาจะได้ส่วนมฤดกของตนที่ในบึงที่มีไฟและกำมะถันไหม้อยู่นั้น นั่นแหละเป็นความตายที่สอง”
(วิวรณ์ 21.8) คนพูดโกหกจะไปนรก คนที่เชื่อพระเจ้าพูดความจริง “พระเจ้าดลใจให้พวกเขาเขียนพระคริสตธรรมคัมภีร์”
ความเป็นมาของพระคริสตธรรม
ภาษาเขียนมีมาตั้งแต่ 4,500
ปีก่อนคริสตกาล
พวกอียิปต์เป็นคนแรกที่มีการจารึกเรื่องราวต่าง ๆ ต่อมาเป็นพวกบาบิโลน ประมาณ
3,750 ปีก่อน ค.ศ.
พระคริสตธรรมคัมภีร์ได้เขียนขึ้นในสมัย
1,500
ปีก่อนพระเยซูคริสต์เจ้าบังเกิดโดยโมเซ
การจารึกในตอนแรก ๆ
ก็เป็นการบันทึกไว้บนหิน ศิลา (ดิน)
ไม้ หนัง กระดาษพาไพรัส
(Papyrus)
เวลลัม (Vellum หนังลูกวัว) พาร์ซมันท์
(Parchment หนังแกะ, แพะ)
กระดาษจากใยพืชซึ่งเป็นที่นิยมและทันสมัยที่สุด แต่ก็มีการจารึกบนไขเทียน ทองแดง
ผ้าและแจกัน
วัสดุที่ใช้เขียนก็เป็นพวกของแหลม
ต่อมาก็ใช้หมึก
พระคริสตธรรมได้จารึกเป็นภาษาเฮ็บราย (สะเมติค- Senetic)
กรีกและอาราเม็ค (Aramaic) ทุกวันนี้พระคัมภีร์ฉบับจริงไม่มีแต่ยังมีสำเนาที่คัดลอกไว้โดยพวกอาลักษณ์ อยู่ถึง
4,500 ฉบับ เก็บไว้ที่หอสมุดวาติกัน กรุงโรม
ประเทศอิตาลี,
พิพิธภัณฑ์อังกฤษ,
หอสมุดแห่งชาติที่ปารีส ฝรั่งเศส,
มหาวิทยาลัยแคมบริคจ์ ประเทศอังกฤษ และยังมีบันทึกข้อพระคัมภีร์สั้น ๆ ซึ่งเรียกเลคชัน (Lection)
อีกถึง 1,800 ชิ้นด้วยกัน
การที่มีฉบับสำเนามาก ๆ ก็ดีกว่าการมีฉบับจริงเสียอีก
เพราะไม่มีใครอยากจะขโมยสำเนาหรือปลอมแปลงเพื่อไปลอกผู้อื่น และการมีสำเนามาก ๆ ทำให้สามารถเอามาเทียบดูกันได้ถึงความหมายที่ถูกต้องและแม่นยำ
การศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์
พระคัมภีร์แบ่งออกเป็น 2
ตอนใหญ่ ๆ คือ พันธสัญญาเดิม
ซึ่งเขียนขึ้นก่อนพระเยซูประสูติ
และพันธสัญญาใหม่
ซึ่งบันทึกหลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว พระคัมภีร์เดิมมีหนังสือเล่มเล็ก ๆ 39
เล่ม 32 คนเขียน
ใช้เวลา 1,500 ปี
พระคัมภีร์ใหม่ผู้เขียน 8 คน
มีหนังสือเล่มเล็ก ๆ 27 เล่ม
ใช้เวลาเขียน 100 ปี
การแบ่งพันธสัญญาเดิมมี 3 หมวด
1. พระบัญญัติ ประกอบด้วย
เยเนซิศ เอ็กโซโด เลวีติโก
อาฤธโม พระบัญญัติ (5
เล่ม)
2. ผู้พยากรณ์ แบ่งออกเป็นผู้พยากรณ์ก่อน และผู้พยากรณ์หลัง
ก.
ผู้พยากรณ์ก่อน ประกอบด้วย
ยะโฮซูอะ ผู้วินิจฉัย 1 และ 2
ซามูเอล 1 และ 2
พงศาวดารกษัตริย์ (6 เล่ม)
ข.
ผู้พยากรณ์หลัง
ประกอบด้วย ยะซายา ยิระมะยา
ยะเอศเคล และผู้พยากรณ์อีก 12
เล่ม (15 เล่ม)
3. เพลงสดุดี (ข้อเขียน – Writing)
ประกอบด้วย บทเพลงสรรเสริญ สุภาษิต
โยบ เพลงไพเราะ รูธ
บทเพลงร้องทุกข์
ท่านผู้ประกาศ เอศเธระ ดานิเอล
เอษรา-นะเฮมยา 1 และ 2
โคร-นิกา (13 เล่ม)
การแบ่งพันธสัญญาใหม่ มี
3 หมวด
1.
ประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย
มัดธาย มาระโก ลูกา
โยฮันและกิจการ (5 เล่ม)
2.
หลักคำสอน แบ่งเป็นจดหมายเปาโล และจดหมายทั่วไป
ก.
จดหมายเปาโล ประกอบด้วย
โรม 1 และ 2 โกรินโธ
ฆะลาเตีย เอเฟโซ ฟิลิปปอย
โกโลซาย 1 และ 2 เธซะโลนิเก 1 และ 2 ติโมเธียว ติโต
ฟิเลโมน เฮ็บราย (14 เล่ม)
ข.
จดหมายทั่วไป ประกอบด้วย
ยาโกโบ 1 และ 2 เปโตร 1,2 และ 3 โยฮัน ยูดา (7 เล่ม)
3.
คำพยากรณ์ ประกอบด้วย
วิวรณ์ (1 เล่ม)
การแปลพระคัมภีร์
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง
ๆ และขายได้มากที่สุดในโลก เดิมทีเดียวพระคัมภีร์ไม่ได้แบ่งบทหรือข้อ
คาร์ดินัล ฮิวโก แบ่งเป็นบทในปี ค.ศ. 1250
และในปี ค.ศ. 1551 เซอร์
โรเบริทสตีเฟนส์ ได้แบ่งเป็นข้อ พระคัมภีร์
ภาษาไทยได้พิมพ์ขึ้นเป็นฉบับสมบูรณ์
ประกอบด้วยพระคัมภีร์เดิมและใหม่ในปี
ค.ศ. 1896 แต่แท้จริงความพยายามแปลพระคัมภีร์นั้น กลับไปถึงสมัยเมื่อ 200
กว่าปีมาแล้วในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว
จะต้องศึกษาพระคัมภีร์เพื่อเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ถ้าหากเราเชื่อแน่นอนว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นคำของพระเจ้า เราย่อมเชื่อว่า
สิ่งที่พระเจ้าทรงตรัสผ่านพวกผู้พยากรณ์นั้น เพื่อผลดีสำหรับชีวิตของเรา ผู้ใดที่ประพฤติตามผู้นั้นเป็นคนฉลาด จะมีความสุขและได้ชีวิตนิรันดร์
Comments
Post a Comment