คำอุปมา บทที่ 10

 


บทที่  10

คำอุปมาเรื่อง  ผู้เช่าสวนองุ่นชั่ว

(มธ 21.33-44, มก 12.1-12, ลก 20.9-18)

 

1.      พื้นฐาน

.   วันนั้นเป็นวันอังคารก่อนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะสิ้นพระชนม์   เป็นวันที่เต็มไปด้วยการได้เถียงอย่างเผ็ดร้อน  นี่เป็น เวลาที่คำอุปมานี้ได้กล่าว

ความต้องการของพวกผู้นำยิวที่จะฆ่าพระองค์กำลังถึงขีดสุด

พวกปุโรหิตใหญ่และผู้ปกครองกำลังตั้งคำถามถึงสิทธิ์และอำนาจของพระคริสต์

พระคริสต์ได้แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจของพวกเขาด้วยเรื่องของบุตรชายสองคน

คำอุปมานี้  เป็นฉากสองของเรื่องที่เรียนมาก่อนแล้ว   เพื่อเป็นการแสดงถึงอุปนิสัยของพวกยิวในอดีต  และคำพยากรณ์ถึงการที่พวกยิวจะไม่ยอมรับพระมาซีฮาและผลที่จะตามมาถึงพวกเขา

 

2.      เนื้อเรื่อง

ก.    เจ้าของสวนผู้หนึ่งได้ทำสวนองุ่นแล้วล้อมรั้วไว้รอบ  เขาได้ขุดบ่อสำหรับบีบน้ำองุ่นและก่อหอเฝ้าให้ชาวสวนเช่าแล้วก็ไปเสียเมืองอื่น

1)        เจ้าของสวน  คือ  พระเจ้า, พระบิดา

2)        สวน  เป็นเครื่องหมายแสดงถึงสิทธิพิเศษ  และโอกาสที่ประทานให้แก่พลเมืองที่พระองค์ทรงเลือกไว้  และคุณธรรมที่พระเจ้าได้ทำสัญญากับพวกเขา  (ยซย 5.1-7)

3)        ในสวนนั้นได้มีการจัดสรรไว้ทุกอย่าง อย่างเพียงพอ

ก)        พวกอิสราเอลถูกล้อมไว้ด้วยสถานที่ตั้ง และโดยพระบัญญัติของโมเซ (อซ 2.14-15)

ข)        หอเฝ้าเป็นสัญลักษณ์ถึงการป้องกันและความอบอุ่น  (ดู ยซย 5.4)

4)        ผู้เช่าสวน  หมายถึง  ชนชาติยิว

5)        เมืองอื่น   ช้านาน  (ลก 20.9) หมายถึง   การติดต่อของพระเจ้ากับพวกอิสราเอล   ที่เปลี่ยนแปลงขาดหายไปจนกว่าพระคริสต์จะเสด็จมา สังเกตุดูจะเห็นว่าการรับใช้ของยะโฮซูอะนั้นต่างกับของโมเซที่มีโอกาสพบพระเจ้าตัวต่อตัวต่อหน้าพระพักตร์พระองค์  (พบญ 34.9-10)

 

.     เมื่อฤดูผลองุ่นมาจึงใช้พวกบ่าวไปหาผู้เช่าสวนเพื่อจะรับผลของท่าน   -  เฆี่ยน   ฆ่า   และ หินขว้าง

1)        ฤดูผลองุ่น  แสดงให้เห็นถึงสภาพที่สุกงอมของชนชาติยิว

ก)        บัญญัติของโมเซมีไว้เพื่อสำแดงความบาป  (รม 3.20, 7.7, 13)

ข)    ศตวรรษแล้วศตวรรษเล่า  พวกยิวน่าจะเรียนรู้ว่าโดยพระบัญญัติแล้วพวกเขาไม่สามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้  (ฆต 3.10-11)

ค)        ดังนั้นจิตใจของพวกเขาก็รอคอยการสำเร็จตามคำพยากรณ์การเสด็จมาของพระคริสต์ (1 ปต1.10-11)

2)   บ่าวคือ ผู้เหล่านั้นที่รับใช้พระเจ้าในสมัยพระคัมภีร์เดิมซึ่งถูกยิวข่มเหงต่าง ๆ นานา

                        )   เอลียา  (1 พศก 19)   ยิระมะยา  (18.20) ยะเอศเคล  (2.6, 20.49) อาโมศ  (7.10-13) ซะคาระยา

                     (11.12) และคนอื่นที่ทำงานเหมือนกับพวกเขา

)   พระเยซูพยายามที่จะชี้ให้เห็นถึงการข่มเหงของพวกยิวสมัยก่อนพระองค์กับความชั่วของพวกยิว  ที่อยู่ในสมัยพระองค์ว่าคล้ายกัน  (มธ 5.12, 23.27, ดู กก 7.52, ฮร 11.33ตต)  

การที่พระเจ้าพยายามแล้วพยายามเล่าเพื่อจะได้ผลแบ่งปันของพระองค์  เป็นการสำแดงถึงความรักและความอดทนของพระเจ้าต่อมนุษย์ชั่วช้าทั้งหลาย

 

.   เจ้าของสวนในที่สุดก็ส่งบุตรที่รักของท่านไป  (มก 12.6)  พูดว่า  เขาคงจะเคารพบุตรของเรา 

1)    บุตรที่รักนั้น คือ พระเยซูคริสต์   (มธ 3.17, 17.5)

)   สังเกตดูจะเห็นได้ว่าบุตรนั้นเป็นคนละชั้นกับบ่าวที่เป็นพวกผู้พยากรณ์ทั้งหลาย   (มธ 16.13-16)   ความเป็นพระเจ้าของพระองค์  (ยซย 7.14, 9.6, มีคา 5.2, ยฮ 1.1, 20.28, กก 20.28, ฮร 1.8)

2)    พระบุตรนั้นเป็นบุคคลสุดท้ายที่พยายามให้มนุษย์นั้นกลับคืนกับพระเจ้า   เครื่องบูชาบาปนั้นไม่มีเหลืออีกเลย  (ฮร 10.26) พระคริสต์เป็น  ทางนั้นที่จะไปถึงพระบิดา  (ยฮ 14.16)  เขาคงจะเคารพบุตรของเรา ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่รู้ว่าพวกยิวจะไม่ฆ่าพระบุตร   หรือเป็นเรื่องน่าประหลาดผิดความคาดหมายของพระเจ้า

ก)        พระเยซูนี้ถูกมอบไว้ตามซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริแน่นอนล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว  (กก 2.23)

ข)        พระเจ้าใช้คำอุปมานี้โดยมิได้กล่าวถึงการทรงทราบล่วงหน้าไว้   และเป็นการให้เสรีภาพแก่มนุษย์ในการตัดสินใจของเขาเอง

3)    นี่เป็นการสำแดงถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ทั้ง ๆ ที่พระองค์รู้ว่ามนุษย์ได้ทำหยาบช้าต่อผู้พยากรณ์แล้ว

 

.   แต่พวกผู้เช่าสวนกลับพูดกันว่า  คนนี้แหละเป็นผู้รับมรดกให้เราฆ่าเสียเถอะ   และรีบเอามรดกของเขาเขาจึงพากันจับบุตรนั้นผลักออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย

1)        การที่พวกเขายอมรับว่าพระบุตรจะเป็นผู้รับ มรดกเป็นการแสดงให้เห็นว่าพวกที่ฆ่าพระเยซูไม่ใช่ด้วยความเขลาเสียทีเดียว  (ดู ลก 23.34, กก 3.17) แต่พวกเขาปิดตาใจที่จะมองเห็นถึงอำนาจและฤทธิ์เดชที่พระองค์ทรงสำแดงถึงความเป็นพระบุตร  (ยฮ 12.37, กก 2.22)

2)        พระคริสต์  เป็นพระบุตรของพระเจ้าเพราะฉะนั้นพระองค์จะเป็นทายาท  (ฮร 1.2)  ดังนั้นพระองค์จึงเป็นพระเจ้า

3)        พวกผู้นำยิวอยากจะเป็นผู้รับมรดกเอง  ดังนั้นพวกเขาจึงฆ่าพระองค์เสียด้วยความอิจฉา  (มธ 27.18)

4)        นี่เป็นคำพยากรณ์ที่บ่งให้เห็นชัดถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์  (มธ 16.21)

 

.   องค์พระผู้เป็นเจ้าถามคำถามกับพวกยิวถึงชะตากรรมของพวกผู้เช่าสวนว่าจะเป็นอย่างไร

1)        พวกนี้ตอบพระองค์ได้อย่างถูกต้อง  คือ  ท่านจะล้างผลาญคนชั่วเหล่านั้นด้วยโทษร้ายแรงเพิ่มอีกหน่อย  อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย  (ลก 20.16)

ก)        พวกเขาประกาศถึงวิบัติของตัวเอง  (2 ซมอ 12) และก็สำเร็จเมื่อกรุงยะรูซาเลมถูกทำลาย  (.. 70)

 

.    พระคริสต์จึงแจ้งให้พวกเขารู้ว่า   การที่พวกผู้เช่าสวนปฏิเสธพระองค์นั้นเป็นการทำให้คำพยากรณ์ในพระคริสต-ธรรมคัมภีร์เดิมสำเร็จ  ศิลาที่ช่างก่อได้ทิ้งเสียกลับมาเป็นศิลาหัวมุมแล้ว  (สดด 118.22)

พระเยซูคือ ศิลาที่พวกเขาปฏิเสธ  เป็นก้อนหินที่ทำให้สะดุดล้มและเป็นศิลาที่ทำให้ขัดเคืองใจ (1ปต2.8, 1 กธ 1.23)

พระคริสต์เป็นศิลาที่ได้ถูกทดลองดูแล้ว  (ยซย 28.16)  เป็นศิลาเลศ  (1 ปต 2.4) เป็นผู้ถูกทดดลองทุกอย่างแต่ก็ยังปราศจากบาป  (ฮร 4.15)

พระองค์เป็นศิลาที่ทรงเลือกไว้แล้ว  (1 ปต 2.4)  ตามที่ได้ทรงดำริไว้ก่อน  (อซ 3.10, กก 2.23)

พระองค์เป็นศิลาอันมีชีวิตอยู่  (1 ปต 2.4)  เป็นขึ้นจากตาย  (1 กธ 15.4) เป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่  (วว 1.18)

พระคริสต์เป็นศิลาแห่งการเลี้ยงดู  (1 กธ 10.4)

ศิลาที่ได้รับการปฏิเสธกลับกลายมาเป็นศิลาหัวมุม

)    ศิลาหัวมุมมีไว้เพื่อจะเชื่อมโยง   และให้กำลังพยุงแก่กำแพงสองด้านที่มาจดกัน

)   พระคริสต์เป็นศิลาหัวมุมที่ประสานเชื่อมโยงระหว่าง  นิรันดร์  (ยฮ 1.1)  และเวลา  (ยฮ 1.14) พระเจ้า (ฮร 1.8) และมนุษย์  (1 ตธ 3.16) พันธสัญญาเดิมกับพันธสัญญาใหม่  (ฮร 10.9) พระเมตตา  (อซ 2.4) และความยุติธรรมของพระเจ้า  (รม 3.26) ยิวและต่างชาติ  (อซ 2.16)

 

.   พระเยซูประกาศให้ทราบว่าแผ่นดินจะถูกนำไปจากพวกยิวและไปให้แก่ประเทศที่จะเกิดผล

การที่แผ่นดินถูกนำไปจากพวกยิว  หมายความว่า  พวกยิวจะไม่ใช่ประชากรของพระเจ้าแต่พวกเดียวอีกต่อไป  การที่คนบางคนพยายามสอนถึงการที่พระเจ้าจะฟื้นฟูสายสัมพันธ์ของพวกยิวอีกนั้นเป็นเรื่องโกหกสิ้นดี

ประเทศใหม่ของพระเจ้า  คือ  คริสตจักรของพระคริสต์  (1 ปต 2.9) อิสราเอลทางด้านวิญญาณจิต (ฆต 3.16)

 

.    พระคริสต์ประกาศว่า  ผู้ที่ต่อต้านพระองค์จะถูกทำลายโดยสิ้นเชิง

1)    พวกยิวถูกทำลายโดยสิ้นซากด้วยกองทัพของโรมันใน ค.. 70   กองทัพพระเจ้า  (มธ 22.7)

ก)        การที่พวกยิวปฏิเสธพระเยซูนำพระพิโรธมาถึงพวกยิว  (1 ธก 2.15-16)

ข)        คนจำนวนเป็นล้านถูกฆ่าตายและตกเป็นเชลย

ค)        พวกยิวต้องกระจัดกระจาย   (พบญ 28.29, ยรย 24.9, อมศ 9.9)

ง)         รากของวิหารถูกขุดขึ้น  (มธ 24.2)

2)    หลักการนี้นำไปใช้ได้กับทุกคนที่ต่อต้านพระบุตรของพระเจ้า

 

3.    บทเรียนที่เราเรียนจากคำอุปมานี้

ก.      สิทธิพิเศษทางด้านจิตวิญญาณ  เราต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ถ้าไม่จะต้องรับผลกรรมใหญ่

ข.      การข่มเหงผู้รับใช้ของพระเจ้า  คือ  การดูหมิ่นเหยียดหยามพระเจ้า

ค.      พระคริสต์เป็นบุตรที่รักของพระเจ้า

ง.      พระเยซูคริสต์เป็นวิธีสุดท้ายที่พระเจ้าให้แก่มนุษย์

จ.      พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่เต็มด้วยความรักและความอดทน

ฉ.      ประเทศอิสราเอลนั้นพระเจ้าปฏิเสธที่จะรับพวกเขาเป็นพลเมืองตามคำสัญญาแล้ว

ช.      การทรยศของมนุษย์ไม่สามารถที่จะล้มเลิกโครงการของพระผู้ยิ่งใหญ่

 

 

Comments

Popular posts from this blog

คำอุปมา บทที่ 8

คำอุปมา บทที่ 13

บทเรียนไปษณีย์ บทที่ 3