บทเรียนไปษณีย์ บทที่ 5
บทที่ 5
พระเยซูเป็นพระเจ้า
โดย วีรศักดิ์
วรฤทธิ์สกุล
จำได้ไหมในบทเรียนบทที่แล้วเราบอกว่า ถ้าหากพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า พระองค์สามารถไถ่เราได้ ไม่แต่เพียงเท่านั้น
ความหวังในการที่จะใช้ชีวิตร่วมกับพระองค์ในสวรรค์ต้องเป็นความจริง และคนชั่วจะต้องไปใช้หนี้กรรมของตนในนรก เพราะว่าพระเจ้ามุสาไม่ได้ ไม่แต่เพียงเท่านั้น ศาสนาคริสต์
เป็นศาสนาเดียวที่ให้ความหวังแก่มนุษย์และเป็นความจริง แต่ถ้าหากพระเยซูไม่ใช่พระเจ้า
ทุกสิ่งในศาสนาคริสต์เป็นความเท็จและพวกคริสเตียนเป็นคนโง่
การเป็นขึ้นจากตายพิสูจน์ความเป็นพระเจ้า
หนักประวัติศาสตร์คริสเตียนได้เขียนไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ตามหนังสือโยฮัน
บทที่ 20
ข้อ 1-7
ว่าสาวกสตรีมาเรียมัฆดาลาได้ไปที่อุโมงค์ฝังศพของพระเยซู
แต่เมื่อนางไปถึงนางเห็นปากอุโมงค์เปิดอยู่ นางจึงไปบอกอัครสาวกเปรโตรและโยฮัน ทั้งสองได้มาถึงอุโมงค์
และเมื่อเข้าไปในอุโมงค์พวกเขาเห็นผ้าพันพระศพและผ้าพันพระเศียรวางไว้ที่แท่นพระศพ คำถามคือพระศพหายไปไหน? ศพเดินเองไม่เป็นและเคลื่อนไหวเองไม่ได้
ข้อกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน
คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าบอกว่า พวกศิษย์ของพระเยซูขโมยพระศพไป แต่นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์
พระองค์ได้ตรัสไว้หลายครั้งว่าพระองค์จะทรงเป็นขึ้นจากตาย “ตั้งแต่เวลานั้นมา พระเยซูตรัสแก่พวกสาวกของพระองค์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงยะรูซาเลม เพื่อจะรับความทุกข์ทรมานต่าง ๆ อย่างสาหัส
จากพวกผู้เฒ่าและพวกปุโรหิตใหญ่และพวกอาลักษณ์ จนต้องถึงแก่ประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่” (มัดธาย
16.21)
แต่พวกศิษย์ของพระองค์ไม่เชื่อ
ตอนที่พระองค์จะทรงเป็นขึ้นจากตายและปรากฏแก่พวกเขา พวกเขาไม่เชื่อ “เมื่อเขาได้ยืนว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่และมาเรียได้เห็น
พระองค์แล้ว เขาก็ไม่เชื่อ” (มาระโก 16.11)
คนที่ไม่เชื่อในเรื่องการเป็นขึ้นจากตายจะขโมย พระศพหรือ?
นอกจากนั้นพวกศัตรูของพระเยซูก็รู้คำตรัสของพระเยซู และพวกนี้ก็กลัวว่าศิษย์ของ พระองค์จะขโมยพระศพ พวกเขาจึงได้ให้ทหารโรมันไปเฝ้าและประทับตราห้ามไม่ให้ใครเปิด ถ้าหากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีโทษถึงตาย (มัดธาย 27.62-66)
ศิษย์ของพระเยซูซึ่งไม่เชื่อในเรื่องการเป็นขึ้นจากตายและเป็นคนขี้ขลาดจะกล้าไปขโมยพระศพหรือ? นักประวัติศาสตร์คริสเตียนบอกว่า อัครสาวกที่กล้าหาญที่สุดของพระเยซูคือเปโตรยังได้ปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระเยซูถึงสามครั้ง (มธ 26.68-75)
ส่วนสาวกที่เหลือประวัติศาสตร์บอกว่า
“แล้วสาวกทั้งหมดได้ละทิ้งพระองไว้ และพากันหนีไป
(มาระโก 14.50)
ส่วนอีกคนหนึ่งที่ทำใจกล้า
แต่พอโดนจับ “เขาได้สลัดทิ้งผ้าป่านนั้นเสียแล้วหนีเปลือยกายไป” (มาระโก
14.52)
คำถามคือคนขี้ขลาดที่ไม่เชื่อในเรื่องการเป็นขึ้นจากตาย จะเสี่ยงชีวิตฝ่ากองทหารโรมัน ซึ่งเป็นทหารที่เก่งที่สุดในโลกขณะนั้น เพื่อจะไปขโมยพระศพหรือ?
ข้อปฏิเสธไม่เชื่อในการเป็นขึ้นจากตายของคนไม่เชื่อในพระเยซูอันต่อไปคือ พวกศิษย์ตาฝาด คิดว่าเขาเห็นพระเยซู แต่คำพยานของพวกศิษย์นั้นชัดไม่ใช่ตาฝาด พระองค์ปรากฏพระกายถึง 11
ครั้งในเวลา 40 วัน
พวกเขาได้กินดื่มและสัมผัสพระองค์ โธมาอัครสาวกขี้สงสัยบอกว่า “ถ้าเราไม่ได้เห็นรอยตะปูที่ฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์และมิได้เอานิ้วมือของเราแยงเข้าที่รอยตะปูนั้น และมิได้เอามือของเรา แยงเข้าไปในสีข้างของพระองค์แล้ว เราจะไม่เชื่อ”
(โยฮัน
20.25) หลังจากที่โธมาได้แตะพระเยซู โธมาร้องว่า
“องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้า พระเจ้า”
(โยฮัน 20.28) คำตอบคือ
พวกศิษย์ไม่ได้ตาฝาด
พระองค์เคยปรากฏพระองค์ให้คนเห็นครั้งเดียวมากกว่า 500 คน
ตาฝาดนั้นฝาดคนเดียวไม่ใช่ทั้ง 500 คน (1
โกรินโธ 15.6)
ข้อปฏิเสธอีกอันหนึ่งคือ สัตว์ในอุโมงค์กิน นี่ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะว่าในบันทึกบอกว่า
ผ้าพันพระศพและผ้าพันพระเศียรยังคงอยู่และพับไว้ ถ้าหากสัตว์มากินพระศพ
ผ้าพวกนี้ต้องไม่พับและไม่เหลือไม่ว่าสัตว์จะเป็นสิงห์โต เสือ
หมาป่า หรืองู
ส่วนข้อปฏิเสธอีกข้อหนึ่งที่มักจะใช้เสมอ
ๆ คือ
พระเยซูสลบมิได้ตายจริง
ข้อปฏิเสธนี้ก็ขัดกับประวัติศาสตร์
เพราะว่าแม้แต่นักประวัติศาสตร์ที่ไม่เชื่อในพระเยซูก็ยังยอมรับว่า พระองค์สิ้นพระชนม์
นักประวัติศาสตร์คริสเตียนก็บอกว่าสิ้นพระชนม์ แม้แต่ศัตรูของพระองค์ก็ยอมรับว่า สิ้นพระชนม์แล้วศิษย์ของพระเยซูคือโยเซฟชาวบ้านอาริมาธายเมื่อได้ไปขอพระศพจากปีลาต ผู้ว่าราชการ”
ปีลาตก็ประหลาดใจที่พระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วจึงเรียกนายร้อยมาถามว่า ตายนานแล้วหรือ เมื่อได้รู้เรื่องจากนายร้อยแล้ว ท่านจึงมอบพระศพให้กับโยเซฟ” (มาระโก
16.44-45)
ศิษย์ผู้นี้ได้นำพระศพไปฝังและปีลาตได้ให้ทหารไปเฝ้า เพื่อกันพวกศิษย์อื่น ๆ ไม่ให้มาขโมย
เพราะฉะนั้นพระเยซูสิ้นพระชนม์จริงไม่ได้สลบ
คำถามที่ต้องตอบ
ถ้าหากพระเยซูไม่ได้สลบ
สัตว์ไม่ได้กินพระศพพวกศิษย์ไม่ได้ขโมยและตาไม่ได้ฝาด พระศพหายไปไหน? นักประวัติศาสตร์คริสเตียนบอกว่า พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากตาย ถ้าหากไม่ได้เป็นขึ้นจากตาย ตอบซิว่า
พระศพหายไปไหน
ศพเดินเองไม่ได้
นี่คือข้อพิสูจน์ที่ไม่ต้องสงสัยว่า
พระเยซูเป็นศาสดาองค์เดียวที่เป็นขึ้นจากหลุมฝังศพ พระองค์เท่านั้นไถ่มนุษย์จากบาปได้
และพระองค์เท่านั้นที่จะประทานชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์แก่มนุษย์ “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย
ด้วยว่านามอื่นที่เป็นที่รอดแก่เราทั้งหลาย ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กิจการ
4.12) พระเยซูเท่านั้นคือ พระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์
พระเยซูคือพระศรีอาริย์
พระพุทธเจ้าทรงประสูติในราชวงศ์กษัตริย์ อาณาจักรต่าง ๆ ในเวลานั้น
(543 ปีก่อน คริสตกาล) ตกอยู่ใต้อำนาจการปกครองของบาบิโลน และมิโดเปอร์เซีย (มาดายฟารัส)
อินเดียหรือโฮดูโบราณก็เป็นเมืองหนึ่งที่ตกเป็นเมืองขึ้น (เอศเธระ
1.1) สิ่งที่น่าสนใจคือ
ผู้ปกครองรัฐและมหาอุปราชย์ของบาบิโลนและมิโดเปอร์เซียคือ พวกยิว
ชาวยิวรอคอยพระมาซีฮา
(พระผู้ช่วยให้รอด)
ที่จะมาบังเกิดเพื่อจะปลดปล่อยมนุษย์
ไม่เป็นการแปลกประหลาดอะไรที่พระพุทธเจ้า
จะมีโอกาสสัมผัสกับพวกเจ้านายยิวและอ่านหนังสือคำพยากรณ์ต่าง ๆ ของพวกยิว
พระพุทธเจ้าปฏิเสธไม่ต้องการให้ผู้ใดติดตามพระองค์ แต่ให้รอคอยพระศรีอาริย เมตตรัย
ใครคือผู้นั้นที่เกิดภายหลังพระพุทธเจ้า
และจะมาโปรดมนุษย์
Comments
Post a Comment